วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ประวัติบ้านโพนค้อ

ประวัติตำบลโพนค้อ
ตำบลโพนค้อ ชนพื้นบ้านเป็นคนเผ่าเยอ ตั้งเป็นกลุ่มมาเมื่อใดไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่มีเอกสารพอที่จะอ้างอิงได้คือ เอกสารการจัดตั้งวัด (ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติวัดบ้านโพนค้อ) ว่าวัดบ้านโพนค้อ ตั้งมาเป็นเวลานานเป็นวัดเก่าแก่โบราณ ตามหลักฐานเอกสารเลขทะเบียนที่ว่า วัดบ้านโพนค้อเริ่มสร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2266 และได้รับพระราชทาน “สุรคามสีมา” ลงวันที่ 7 เมษายน 2474 สันนิษฐานว่าหมู่บ้านนี้ตั้งมาก่อน พ.ศ. 2266 คนเผ่าเยอเข้ามายังประเทศไทย มี 2 นัยยะ คือ จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์อาณาจักรลาว มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่นครเวียงจันทน์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2256 ราชสำนักนครเวียงจันทน์ เกิดการแย่งชิงอำนาจปกครองกัน ชาวเยอกลุ่มหนึ่งคือชนพื้นเมืองอัตปือ เมืองแสนแปหรือแสนปาง ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย เยอกลุ่มนี้อพยพปะปนเข้ามากับชาวส่วย เมื่อประมาณ พ.ศ. 2260 ในสมัยเดียวกันกับการอพยพของชาวส่วย ตากะจะ – เชียงขัน เชียงปุ่น เชียงสี เชียงสง เชียงมะ และเชียงชัย ตากะจะและเชียงขัน เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่บ้านประสาทสี่เหลี่ยม (บ้านดวนใหญ่) ประมาณ พ.ศ. 2260 ปัจจุบันเป็นอำเภอวังหิน จังหวัดศรีสะเกษ และเยอกลุ่มนี้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่บ้านโพนค้อ
อีกนัยหนึ่ง ซึ่งเล่าต่อ ๆ กันมา (โดยอาจารย์วัฒนะ นาวี) ว่าประเทศลาวเกิดทุพภิกขภัย มีความเป็นอยู่แร้นแค้น ทั้งเป็นชนกลุ่มน้อย รัฐละเลยไม่เคยช่วยเหลือ และไม่เคยส่งส่วยประจำปี กลัวจะมีโทษทัณฑ์ จึงชวนกันมาเดินทางเข้ามาพึ่งชาวไทย โดยล่องเรือมาตามลำแม่น้ำโขง มีท้าวกะตะศิลา เป็นหัวหน้า ล่องเรือมาถึงปากแม่น้ำมูลแล้วล่องเรือตามลำแม่น้ำมูลถึงบึงคงโคก (โคก หมายถึง พื้นที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง) จึงตั้งชื่อบ้านนี้ว่า บ้างคงโคก หรือบ้านคง คืออำเภอราษีไศลในปัจจุบัน
และมีชาวเยอกลุ่มหนึ่ง แยกออกจากบ้านคงโคก อพยพมาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของราษีไศล ผ่านมาทางบ้านเก่า (พันทา-เจียงอี) เลยมาถึงที่ดอนหรือที่โนนแห่งหนึ่ง ซึ่งโนนหรือโพน หมายถึงพื้นที่สูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดา และ ณ ที่โนนแห่งนี้ มีต้นไม้ที่หมู่คนเรียกว่า “ต้นค้อ” เป็นไม้ยืนต้น ผลมีรสเปรี้ยว ชาวเยอเรียกว่า “ขัยกะโผ” ขึ้นอยู่มากมาย จึงตั้งชื่อบ้านนี้ว่า บ้านโนนค้อ หรือบ้านโพนค้อ จวบจนทุกวันนี้
วัฒนธรรมของชนคนเผ่าเยอ
เยอมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น วัฒนธรรมทางภาษา เยอมีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน เคยคิดประดิษฐ์อักษรพร้อม ๆ กับชนชาติเขมร (ขอม) แต่เพราะกลุ่มชนคนเผ่าเยอเป็นชนกลุ่มน้อย อาณาจักรของชนเผ่าเยอล่มสลาย ไม่มีประเทศเป็นของตนเอง อักษรตัวหนังสือและการเขียนระบบการจัดเก็บและการถ่ายทอดที่ดี จึงไม่มีตัวหนังสือเขียน ปัจจุบันเหลือแต่ภาษาพูด เช่น “กวยขูนะเกิดแซมซายกะเฎือ” (คนทุกคนเป็นพี่น้องกัน)
ตำบลโพนค้อ เป็นตำบลขนาดเล็ก ห่างจากตัวจังหวัด 10 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 14,033 ตารางกิโลเมตร หรือ 7,643 ไร่ 3 งาน มีอาณาเขตติดต่อกับตำบลใกล้เคียงดังนี้
ทิศเหนือ จรด ตำบลโพนข่า
ทิศใต้ จรด ตำบลจาน - ทุ่ม
ทิศตะวันออก จรด ตำบลจาน
ทิศตะวันตก จรด ตำบลซำ
ประชากร มีฐานะค่อนข้างพอมีพอกิน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ นอกนั้นประกอบอาชีพรับราชการ ค้าขาย และรับจ้าง
การปกครอง
จากคำบอกเล่า เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2420 “ตาแสงลา” เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ทำหน้าที่ปกครองหมู่บ้าน กำหนดยศเทียบเท่ากับ “นายตำบล” ปกครองหมู่บ้านนี้มาหลายสิบปี เมื่อตาแสงลาถึงแก่กรรม มีผู้ทำหน้าที่ปกครองต่อมาดังนี้
1. นายตัน สีเหลือง ได้รับเลือกเป็นกำนันตามกฎหมายว่าด้วยการปกครองมณฑล (ส่วนท้องถิ่น) เป็นกำนันคนแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ได้ทรงตรากฎหมายให้มีการเลือกตั้งกำนันปกครองตำบลเป็นครั้งแรก
2. นายบุญมา บุญนำ ได้รับเลือกเป็นกำนันเมื่อปี พ.ศ.2470 และเมื่อ พ.ศ. 2484 ตำบลโพนค้อ แบ่งการปกครองออกเป็น 8 หมู่บ้าน ดังนี้
ตำบลโพนค้อ แบ่งการปกครองออกเป็น 8 หมู่บ้าน คือ
หมู่ที่ 1 บ้านโพนค้อ ปกครองโดย นายบุญมา บุญนำ กำนันตำบลโพนค้อ
หมู่ที่ 2 คุ้มมะเกลือ ปกครองโดย นายบาง เขตตะ
หมู่ที่ 3 คุ้มเมือง ปกครองโดย นายพุฒ เทศะบำรุง
หมู่ที่ 4 บ้านสามเมีย ปกครองโดย นายผิว โอชา
หมู่ที่ 5 คุ้มตะวันออก ปกครองโดย นายอ้วน รัศมี
หมู่ที่ 6 บ้านหนอง ปกครองโดย นายสิงห์ โสมา
หมู่ที่ 7 บ้านกลาง ปกครองโดย นายบุญมา สระ
หมู่ที่ 8 บ้านยานาง ปกครองโดย นายศิลา สุขศรี

และในช่วงนี้บ้านเมืองเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่างสงครามอินโดจีน พ.ศ. 2482 - 2484 หมู่บ้านโพนค้อไปรวมเข้ากับตำบลโพนข่า คือ กำนันอยู่บ้านโพนค้อ แต่ตำบลเป็นตำบลโพนข่า แต่เกิดปัญหา เนื่องจากหมู่ที่ 4 บ้านสามเมียไม่ไปเข้าร่วมด้วย เพราะเห็นว่าอยู่ห่างไกล และอยู่ใกล้ชิดติดกับบ้านจาน ตำบลจาน บ้านสามเมียจึงไปขึ้นต่อตำบลจานตั้งแต่นั้นมา และเวลาต่อมาเห็นว่ายากต่อการปกครอง จึงยุบหมู่บ้านเหลือเพียง 2 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1 บ้านโพนค้อ มีนายบุญมา บุญนำ เป็นกำนันปกครอง , หมู่ที่ 2 บ้านหนอง มีนายเที่ยง สุวรรณเสาร์ เป็นผู้ใหญ่บ้าน
เมื่อสงครามสงบลง ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2491 ได้จัดตั้งหมู่บ้านเพิ่มขึ้นอีก คือ
หมู่ที่ 3 บ้านยานาง นายทองสูรย์ กันหะบุตร ผู้ใหญ่บ้าน
หมู่ที่ 4 บ้านกลาง นายสูรย์ทอง คำหล้า ผู้ใหญ่บ้าน
หมู่ที่ 5 บ้านโนน นายบุญมา จำนันท์ ผู้ใหญ่บ้าน
ในเวลาต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2518 นายบุญมา บุญนำ ลาออกจากกำนันเพราะอายุมาก นายประสิทธิ์ คำหล้า จึงเป็นกำนันตำบลโพนค้อคนต่อมา ปัจจุบันการปกครองเปลี่ยนไป และจะนำมาเสนอในบทความต่อไป

วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2551

บ้านโพนค้อ,เยอ

การตั้งถิ่นฐานชาวเยอ จ.ศรีสะเกษ
เยอ เป็นชื่อกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่ง ในแง่ของภาษา ภาษาเยอจัดอยู่ในภาษากลุ่มมอญ- เขมร จุดเด่นของชาวเยอก็คือ มีความเหนียวแน่นในการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณ วัฒนธรรม และภาษาของกลุ่มชนไว้เป็นอย่างดี ในหมู่บ้านของชาวเยอแทบทุกหมู่บ้าน จะพูดภาษาเยอ ชาวลาวหรือคนหมู่บ้านอื่นที่มาตั้งหลักแหล่งในหมู่บ้าน จะเปลี่ยนจากภาษาพูดเดิมของตน มาพูดภาษาเยอ เเละปฏิบัติตามธรรมเนียมเยอด้วย (จากการสัมภาษณ์ ประเสริฐ คำหล้า ผู้นำชาวเยอ เมื่อปี 2542) การตั้งหมู่บ้านของชาวเยอส่วนใหญ่ จะอยู่ในเขตลำน้ำหรือลำห้วย เช่น บ้านเมืองคง บ้านท่าโพธิ์ บ้านใหญ่ บ้านกลาง บ้านโนน บ้านฮ่องโสก บ้านหลุบโมก บ้านดอนเรือ บ้านหนองบาก บ้านหว้าน อำเภอราษีไศล ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล บ้านโนนแกด บ้านขมิ้น อำเภอเมืองศรีสะเกษ บ้านโพธิ์ศรี ตำบลโนนเพ็ก อำเภอพยุห์ ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มห้วยแอด บ้านปราสาทเยอ บ้านโพนปลัด บ้านเขวา ตำบลปราสาทเยอ ตั้งที่ราบลุ่มห้วยทา บ้านกุง บ้านวังไฮ บ้านขาม บ้านกลาง บ้านจิก ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มลำน้ำเสียว เป็นต้น ที่น่าสนใจคือชาวเยอในแต่ละหมู่บ้านมีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ ปกติชาวเยอมีอาชีพทำนา แต่บางส่วนมีความชำนาญในด้านช่าง ประวัติความเป็นมา - ตำนานของชาวเยอในศรีสะเกษจะเริ่มต้นที่ พญากตะศิลา เป็นหัวหน้านำคนเผ่าเยอ อพยพมาโดยทางเรือ มาตั้งเมืองคงโคกหรือเมืองคง ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลในปัจจุบันนี้ เมืองคงอุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำ และเป็นเส้นทางคมนาคมในการติดต่อค้าขาย มูลเหตุของการตั้งชื่อเมืองอาจมาจาก การที่พื้นที่เหล่านี้อาจมีป่ามะม่วงมาก่อนแล้ว หรือมีการปลูกไม้ผล เช่น ขนุน มะม่วง มะนาว มะพร้าวฯลฯ ผลไม้ที่ปลูกง่ายและให้ผลเร็ว คือมะม่วง มะม่วงภาษาเยอเรียกว่า เยาะค็อง หรือ เยาะก็อง ต้นมะม่วงมีอยู่จำนวนมาก จึงเรียกเมืองตัวเองว่าเมืองเยาะค็อง หรือเพี้ยนไปเป็นเมืองคอง – คง ในที่สุด ปัจจุบันมีรูปปั้นพญากตะศิลาที่เมืองคงโคก บ้านหลุบโมก ต.เมืองคง อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เป็นที่เคารพของชาวเยอ และมีกาบวงสรวงในวันเพ็ญเดือนสามของทุกปี การอพยพของพญากตะศิลา เป็นคำบอกเล่าที่น่าสนใจ เพราะใช้เรือส่วง (เรือยาวที่ใช้แช่ง ) 2 ลำ เรือลำที่ 1 ชื่อ คำผาย เรือลำที่ 2 ชื่อ คำม่วน แต่ลำบรรจุคนได้ 40-50 คน พายจากลำน้ำโขงเข้าปากแม่น้ำมูล รอนแรมทวนกระแสน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ ผ่านเมืองไหนก็บอกกล่าวเจ้าเมืองนั้นว่าจะไปตั้งเมืองใหม่อยู่ เจ้าเมืองนั้นก็ให้ไปเลือกอยู่ตามที่เห็นเหมาะสม ถึงบ้านท่า ต.ส้มป่อย ก็พาไพร่พลแวะพักแรม รุ่งขึ้นวันใหม่ก็นำพวกออกสำรวจหาพื้นที่ตั้งเมือง มาเห็นเมืองร้างเป็นเนินดินสูงมีคูน้ำล้อมรอบ ที่บึงคงโคกทุกวันนี้ เห็นว่ามีสภาพภูมิประเทศเหมาะสม จึงนำไพร่พลตั้งบ้านเรือน ปัจจุบันที่เมืองคงโคกมีศาล และรูปปั้นของพญากตะศิลา เป็นที่เคารพสักการะบนบานของชาวบ้านเป็นประจำ ต่อมาเมื่อจำนวนพลเมืองเพิ่ม มากขึ้น จึงขยายกันมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลที่บ้านกลาง บ้านใหญ่ และบ้านท่าโพธิ์ รวมเรียกว่าเมืองคง เวลาผ่านไปมีคนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงอพยพไปตั้งหมู่บ้านใหม่ในที่ต่างๆเช่นทิศเหนือที่บ้านหว้าน ทิศใต้ข้ามลำน้ำมูลที่บ้านค้อเยอ บ้านขมิ้น บ้านโนนแกด อ.เมืองศรีสะเกษ บางส่วนเลยไปที่บ้านโพนปลัด อ.พยุห์ บ้านปราสาทเยอ บ้านประอาง อ.ไพรบึง ทางทิศตะวันตกไปที่บ้านกุง บ้านเชือก บ้านจิก บ้านขาม และบางส่วนเลยทุ่งกุลาร้องไห้ไปที่บ้านอีเม้ง บ้านหัวหมู อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2544 : หน้า 35-36)

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2551

ปราชญ์เยอ

สูตรการเรียนอย่างไรทำให้จบอย่างภูมิใจและไม่ติด 0 ขร มส

อันดับแรกเกริ่นไว้ก่อน คนเราเกิดมาไม่มีใครเก่งตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ เพียงแต่ว่าคุณแสวงหาความรู้ใส่ตัวใส่สมองและรับความรู้นั้นมามากน้อยแค่ไหน
สูตรการเรียนอย่างไรทำให้จบอย่างภูมิใจและไม่ติด 0 ขร มส

1 มาเรียนทุกวัน เข้าทุกคาบ แค่นี้ก็ไม่ติด ขร มส
2 ส่งงานทุกชิ้นที่อาจารย์สั่งให้ทำ(และต้องทำเองเพราะถ้ารอลอกคนอื่นคุณจะไม่มีความรู้ติดตัวไปตลอด)
3 อย่ามัวเทียวหรือเล่นจนลืมวันและเวลาสอบ(เพราะนั่นหมายถึงท่านอาจจะเสียเวลาในการเรียนไปอีก 1 ปี หรือจบไม่ทันเพื่อน)
4 ในสังคมมนุษย์จำเป็นต้องกลุ่มเพื่อนฝูง เพราะเพื่อนสามารถช่วยเหลือ แนะนำ ตักเตือนและช่วยเหลือกันให้จบพร้อมกันได้เป็นอย่างดี
5 พยายามทำข้อสอบเองก่อน (เพราะความรู้นั้นจะได้ติดหูติดตาและติดสมองไปตลอด)ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยย้อนไปอ่านข้อ 3
6 พยายามอ่านหนังสือและทำความเข้าใจ(ไม่ใช่ให้อ่านแค่ผ่านๆ)มันจะไม่มีความรู้แทรกทรึมเข้าสมอง
สุดท้ายในชีวิตการทำงาน ต้องเจอกับคำนี้ (ต้องพึ่งตนเองและแสวงหาความรู้ในงานที่จะต้องทำนั้นๆๆให้ถึงที่สุดก่อนเพราะมัวแต่คอยความช่วยเหลือจากคนอื่นคุณจะเป็นบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพ) และจะเป็นผู้อยู่ใต้คำสั่งและคำชี้แนะของคนอื่นหรือเรียกง่ายๆๆๆว่า (ลูกน้อง)ตลอดไป